รับไม่ไหว ต้องตัดออก | สวัสดีครับ นานมาก ๆ แล้วนะครับที่ผมไม่ได้เขียนบล็อกมาในแนวบันทึกชีวิต หรือการเล่าเรื่องต่าง ๆ เพราะติดอยู่กับความกังวลว่าจะมีประโยชน์กับคนอ่่านหรือไม่่ และใช่ครับครั้งนี้ก็เช่นกันที่ไม่รู้ว่าพอจะมีประโยชน์กับคนอ่านไหม แต่อย่ากังวลไปเลยเพราะเราต้องการที่จะเขียนมัน (บอกตัวเอง)
ช่วงเวลานี้ของประเทศไทย อยู่ในช่วงที่สังคมเต็มไปด้วยการ ดราม่า เรื่องหนัก ๆ การล่าแม่มด และเรื่องความคิดเห็นไม่ตรงกัน รวมทั้งเรื่องการเมืองที่่กำลังอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลกันอย่างเข้มข้น
ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง ทั้งประเทศไทย ต่างประเทศ ทั้งข่าวเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และการเมือง เรียกได้ว่าเสพติดสิ่งเหล่านี้ไปเลยก็ได้ครับ วันไหนที่ไม่ได้อัพเดทเรื่องใหม่ ๆ ก็จะรู้สึกว่าขาด
อาการของความเครียด
จนกระทั้ง เริ่มมีความรู้สึกเครียดสะสม ไม่ว่าจะจากเรื่องอะไรก็แล้วแต่ โควิดเอย ดราม่าเอย เรื่องตัวเองเอย สารพัดเอย จนรู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว อาการเครียดสะสมคนรอบข้างเรามักจะรู้ก่อนเราเสมอครับ และอาการทางกายภาพที่ปรากฏกับผมก็มี
- นอนไม่หลับ
- หงุดหงิดง่าย
- ก้้าวร้าว
- ดิ่ง
- ร้องไห้
- มองโลกในแง่ร้าย
อาการเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยก่อนหน้านี้ จนกระทั้งมันเกิดขึ้นเราก็ค่่อย ๆ จะรู้ตัวจนมันส่งผลกระทบกับงาน กับชีวิต กับคนรอบข้าง และผมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ามันไม่น่าจะปรกติแล้วหละ จนบอกคนที่บ้านว่า “ผมน่าจะป่วย” เพราะผมค่อนข้างใช้เวลาศึกษาและให้ความสำคัญกับโรคที่มาจากสารเคมีในสมองมากพอสมควรจึงพอจะเข้าใจความเสี่ยงมันบ้างครับ
ตัดสินใจแก้มัน
จากเหตุการณ์พวกนี้ จึงทำให้ผมตัดสินใจทำ Social Detox คือพยายามเลิกเล่น โซเชียลมีเดียแทบจะทั้งหมดเลยครับ และความรู้สึกอารมณ์ดิ่ง ๆ มันหนักขึ้นในช่วงแรก และหากเราสังเกตว่ามันมีสิ่งไหนที่เป็นสิ่งเร้าทำให้เราดิ่ง มันอาจจะรู้สาเหตุของปัญหาได้ครับ ในกรณีของผมนั้น ผมก็รู้ว่าสิ่งไหนมันทำให้เราดิ่ง
แต่แปลกนะครับ ทั้ง ๆ ที่รู้ก็ยังจะทำสิ่งเร้าเหล่านั้น 5555 ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไหมครับ “พวกเสพติดความเจ็บปวด !”
หลังจากการคลายล็อคดาวน์ ผมก็ตัดสินใจไปวิ่งที่สวนลุมครับ เพราะการออกกำลังกาย สำหรับผมคือการคลายความเครียด และเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง และโดยปกติผมจะวิ่งโดยการฟัง Podcast ไปด้วย หรือไม่ก็เพลงในเพลย์ลิสต์ที่ชอบ แต่วันนี้แตกต่าง ผมเลือกที่จะไม่ฟังอะไรเลย อยู่กับตัวเอง
การวิ่งคือกีฬาที่เราสู้กับตัวเอง ตลอดระยะเวลาที่วิ่งมีความคิดหลายอย่างที่แล่นเข้ามาในหัวเรา ทั้งดีและร้าย ในช่วงแรกที่ผมวิ่งนั้นจะเป็นความคิดที่ดี แรงบันดาลใจ การตระหนักคิดสิ่งต่าง ๆ แต่วิ่งไปวิ่งมาความคิดที่ไม่ดีก็แล่นเข้ามาในหัว ความกังวลในสายตาคนคือ การถูก Cyber bully ก็เข้ามารัว ๆ เลยหละครับ แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นที่เราจะมาพูดกันในวันนี้ละกันขอเก็บความเศร้าไว้คนเดียวนะครับ 555555

ตัดเพื่อเพิ่ม เมื่อ รับไม่ไหว
หลังจากลดการเสพ ข่าวดราม่า หรือเสพข้อมูลต่าง ๆ ไปเกือบเดือนผมก็หยิบ โทรศัพท์มือถือมาเช็คข่าวอีกครั้ง ดู เทรนทวิตเตอร์แบบที่ทำประจำ แต่ความรู้สึกคือ เรารู้สึกว่า “เราไม่ต้องการจะรู้มัน” ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่เราดูมันเป็นเรื่องปกติ ความรู้สึกแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นกับผมสมัยเลิกน้ำตาลใหม่ ๆ ผมเลิกกินน้ำตาลมาร่วม 6-7 ปีได้แล้วหละครับ ในช่วงที่เลิกกินน้ำตาลไปสักพัก เราจะรู้สึกว่า ก๋วยเตี๋ยวที่ใส่น้ำตาลแม้ครึ่งช้อนก็หวานไปสำหรับเรา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้อาจมีความคิดว่า “คนเราจะกินก๋วยเตี๋ยวที่ไม่ปรุงรสกันได้อย่างไร ?!”
การเสพสิ่งต่าง ๆ ที่เรา “ไม่จำเป็นต้อง” มันเหมือนการเสพพิษเข้าไปจนชิน ทั้ง ๆ ที่มันไม่จำเป็นกับชีวิตเราเลย และหากเราอยู่ในจุดที่เราเสพมันจนชินเราก็จะไม่รู้ตัวจริง ๆ น่ะครับ เราจะรู้ก็ต่อเมื่อ เรามีเวลาให้ตัวเองไม่รับอะไร
วิธีคิดนี้คล้ายกับการเป็น Minimalism คือการตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งไป สิ่งที่เกินความต้องการของเราออก ผมรู้สึกว่าผมให้ความสำคัญกับแนวคิดนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ และใช้กับทุกเรื่่อง คบคนน้อยลง มีสิ่งต่าง ๆ น้อยลง มีตัวตนน้อยลง มีบทบาทน้อยลง จะมีเฉพาะสิ่งที่สำคัญเท่านั้นหลังจากนี้
กล่าวโดยสรุปก็คือ บทความนี้ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากการมาอัพเดท และใช้การเขียนเป็นการบำบัดเท่านั้น อยากเล่าว่าสวนลุมเงียบเหงากว่าปกติ หวังว่าโควิด จะผ่านไปโดยเร็วนะครับ ดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ ตัดบางสิ่งออกไปบ้างเมื่อ รับไม่ไหว