สิ่งแวดล้อม รวมทั้ง ทรัพยากรธรรมชาติ ถูกใช้ไปในทุก ๆ วินาที นั้นเป็นเหตุผลที่ทำไมเราถึงรอที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว “There can be no Plan B because there is no planet B” ที่ Ban Ki-moon อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ พูดไว้ที่สแตนฟอร์ด และ โอบาม่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่นายกของไทย พลเอกประยุทธ์ ก็นำมาพูดด้วยเช่นกัน ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ ใครเป็นคนพูดก่อนหรือหลัง แต่ประเด็นอยู่ที่ เราเอาจริงเอาจังกับคำคำนี้มากแค่ไหน! เพราะนอกจาก Environment Climate Changeแล้ว ตอนนี้ Climate Clock อยู่ด้วย และมันคอยจับเวลานับถอยหลังเวลาที่เราจะอยู่บนโลกนี้ด้วยเช่นกัน!
มนุษย์เริ่มสนใจ สิ่งแวดล้อม กันเมื่อไหร่?
ถ้าถามคำถามนี้ คงต้องย้อนกลับไปสมัย สงครามเย็น (Cold war) เป็นจุดเริ่มต้นของชนวน ที่ทำให้มนุษย์เริ่มสนใจ สิ่งแวดล้อม (environment) เพราะหลังจากสงครามเย็นจบลง เราก็ได้รู้จักกับคำว่า Global warming หรือ ภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อนนั้นมีอยู่ตลอด แต่เพิ่งมาเด่นชัดขึ้นในช่วงหลังปี 1990 นี่เอง และ 2 ปีหลังจากนั้น นานาประเทศก็ได้จับมือกัน ลงนามว่าเรื่อง Climate change นั่นเป็นเรื่องสำคัญ และจัดประชุมในทุก ๆ ปี ซึ่งปีนี้ก็คือ COP26 ที่ผ่านมา ซึ่งนายกไทยได้ไปแสดงวิสัยทัศน์ด้วยเช่นกัน
แต่คำถามคือ เราเอาจริงกับมันมากแค่ไหน?
ในการประชุม COP21 เมื่อ 2015 ทั่วโลกมีข้อตกลงที่เรียกว่า “Paris Agreement” ที่ตกลงกันไว้ว่าจะจำกัดให้ร้อนขึ้นได้ไม่เกิน 2 องศา ในกรณีที่แย่ที่สุด แต่ไม่เกิน 1.5 องศาคือเป้าหมาย!
มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันกับเราแล้วว่า เราต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ ครึ่งหนึ่งจากที่เป็นอยู่ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปีเท่านั้น (ค.ศ. 2030) และเป้าหมายของเราคือต้องไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเลยภายในอีกไม่เกิน 30 ปี (ค.ศ. 2050) สิ่งนี้เรียกว่า Net-Zero ที่พวกเราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง
จากข้อมูลที่ผมหยิบมาเล่านั้น จะเห็นได้ว่าทำไมผมถึงใช้คำว่า Climate Clock ซึ่งมันหมายถึง โลกเรากำลังจับเวลานับถอยหลังเฝ้าดูเราอยู่ทุก ๆ วินาทีหลังจากนี้

Environment คือ Game-Changer
สิ่งแวดล้อมคือปัจจัยสำคัญของธุรกิจหลังจากนี้!
ผมแค่คิดว่าหลาย ๆ คนพูดถึง การไปสู่อีกระดับของธุรกิจหรืออีกระดับของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเราเรียกว่า New S-Curve หลาย ๆ คนพูดถึง Metaverse (โลกเสมือนจริง) ที่ facebook หรือ META เพิ่งประกาศลุยด้านนี้อย่างเต็มตัว หลาย ๆ คนพูดถึงการเอาจริงเอาจังไปอยู่ในดาวอังคาร การไปสู่อวกาศ หรือ โลกของการกระจายอำนาจด้านการเงิน (Decentralized finance) ทั้งหมดที่กล่าวมาผมค่อนข้างเห็นด้วยว่าจริง! นี่คืออนาคตของเรา
แต่สิ่งที่ผมคิดเลยจริง ๆ ก็คือถ้าไม่มีโลกล่ะ?
สิ่งเหล่านี้คงอาจจะไม่เกิด ดังนั้นสิ่งที่เป็นตัวเปลี่ยนหรือ Game-Changer จริง ๆ คือ โลกของเรา สิ่งนี่ทำให้ผมต้องมานั่งคิดให้หนักขึ้น และหนักขึ้น เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน หรือการลดก๊าซมีเทนซึ่งเป็นเหตุสำคัญของภาวะเรือนกระจก สิ่งเหล่านี้แหละที่จะทำให้ธุรกิจรวมถึงรัฐไปได้อย่างยั่งยืน และทำให้โลกของเรายั่งยืนด้วย
ปัจจุบัน เราไม่ได้อยู่แค่ในช่วง Climate Change แต่เราอยู่ใน “Climate Clock” ที่ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งโลกของเรากำลังนับถอยหลังลงทุก ๆ วินาที
สุดท้ายแต่สำคัญที่สุด
ผมเชื่อจริง ๆ ว่า ณ เวลานี้เป็นจุดที่เราต้องคิดให้หนักขึ้น ละเอียดขึ้น ใส่ใจมากขึ้นเกี่ยวกับโลกของเรา และผมค่อนข้างมั่นใจอีกว่านี้แหละ คือ THE NEW S-CURVE ในทุก ๆ อุตสาหกรรม
และมันรอไม่ได้อย่างที่บันคีมูนเคยพูดเอาไว้ว่า
“There can be no Plan B because there is no planet B”
“ไม่สามารถมีแผนสำรองได้ เพราะว่า เราไม่มีโลกสำรอง!”

“There can be no Plan B because there is no planet B”
— Ban Ki-moon, อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ,คำคม
“ไม่สามารถมีแผนสำรองได้ เพราะว่า เราไม่มีโลกสำรอง!”
Ref :
https://ukcop26.org/
[…] ปัญหาขยะมูลฝอย ปัญหาน้ำเสีย โลกร้อนขึ้น […]
0
[…] ต้องรายงานการทิ้งเศษอาหารในรายงานสิ่งแวดล้อม […]
0