Zero Day รีวิว Netflix อย่างมันจัดไปเลยจุก ๆ

on

|

views

and

comments

Reader Rating9 Votes
6.3
7.8
คะแนน

Zero day รีวิว Netflix ซีรีส์จากอเมริกาที่สะท้อนค่านิยมของประเทศ นี่แหละ Softpower สุด ๆ กับ 6 ตอนที่ไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไปบนช่องทางเน็ตฝลิก ที่ทำให้เราลุ้นระทึกถึงแต่ละเหตุการณ์ไปตลอดทั้งเรื่อง วันนี้จะมารีวิวตามสไตล์ของเราให้อ่านกันอีกครั้งนะครับ เหมือนที่เราทำใน Don’t look up รีวิว หนังที่ดูเสร็จแล้วต้องนั่งคิดสักครู่

ในเรื่องนี้หลังจากออกมาไม่นานอีกแล้วล่ะครับเว็บรีวิวหนังต่างประเทศบ้างตำหนิจนทำเอาเสียอารมณ์ เพราะดูจาก Concept ของซีรีส์ ผมสัมผัสได้ถึงความสนุกสวนคำรีวิวจากต่างประเทศ(บางแหล่งอย่างเช่น IGN) อย่างแน่นอน แต่ยังพอสบายใจที่ The Guardian ยังให้คะแนนที่โอเคอยู่ครับ และเว็บมะเขือก็ยังโอเคด้วยฝั่งนักวิจารณ์ให้ 6.8 ฝั่งผู้ชมให้ 7.6 สำหรับผมมองว่าเป็นคะแนนที่เข้าใจได้ และสมเหตุผลอยู่ทั้งฝั่งผู้ชมและฝั่งนักวิจารณ์

Zero Day รีวิว เรื่องย่อ

Zero Day เล่าเรื่องราวของจอร์จ มัลเลน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่รับบทโดย โรเบิร์ต เดอ นิโร ซึ่งถูกเรียกตัวกลับมาจากการเกษียณเพื่อนำคณะกรรมาธิการ Zero Day Commission สืบสวนการโจมตีทางไซเบอร์ที่คร่าชีวิตผู้คนกว่า 3,400 คน และก่อให้เกิดความโกลาหลในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การหยุดชะงักของระบบขนส่งและไฟฟ้า (Netflix Official) ตลอดการสืบสวน มัลเลนค้นพบแผนการสมคบคิดในระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐและมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี โดยมีลูกสาว อเล็กซานดรา มัลเลน (ลิซซี่ แคปแลน) และทีมงานอย่าง โรเจอร์ คาร์ลสัน (เจสซี่ พเลมมอนส์) เข้ามาเกี่ยวข้อง เนื้อเรื่องยังผสมผสานดราม่าครอบครัว เช่น ความขัดแย้งระหว่างมัลเลนกับลูกสาว และการเผชิญหน้ากับสื่อและสาธารณชน

Zero Day คืออะไร

Zero Day ในบริบทของซีรีส์หมายถึงวันที่เกิดการโจมตีทางไซเบอร์ โดยใช้ช่องโหว่zero-day vulnerability ซึ่งเป็นช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ที่ยังไม่รู้จักและไม่มีแพตช์แก้ไข ทำให้การโจมตีนี้ร้ายแรงและยากต่อการป้องกัน คำนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบดิจิทัลในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเนื้อเรื่อง

บทวิเคราะห์ตัวละคร

Zero day รีวิว Netflix ตัวละคร จอร์จ มัลเลน ไบเดน ริคสัน

บทวิเคราะห์ตัวละคร: จอร์จ มัลเลน – การผสมผสานระหว่างริชาร์ด นิกสัน และโจ ไบเดน

ตัวละคร จอร์จ มัลเลน ซึ่งรับบทโดย โรเบิร์ต เดอ นิโร ถูกนำเสนอในฐานะอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีมิติซับซ้อนทั้งในด้านความเป็นผู้นำและชีวิตส่วนตัว

เขาเคยเป็นประธานาธิบดีที่ลาออกเคยเป็นอัยการเรียนจบด้านกฎหมายอีกทั้งยังผ่านสงครามเวียดนาม เมื่อถึง Zero Day ก็ถูกเรียกกลับมาสืบสวนการโจมตีทางไซเบอร์ มีปัญหาความทรงจำมีปัญหาสุขภาพที่ส่งผลต่อการตัดสินใจและมีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับลูกสาว

แต่อย่างไรก็ตามเขาเป็นที่ยอมรับจากสองพรรคการเมืองก่อนจะถูกต่อต้านในภายหลังแต่เป็นคนที่ไม่มีใครสงสัยในความทุ่มเทเพื่อชาติ มีค่านิยมยอดเยี่ยม มีภาวะผู้นำสูง แต่สุดท้ายปลีกตัวจากหน้าที่เพราะปัญหาส่วนตัว

ทำให้ผมเชื่อว่า จอร์จ มัลเลน ถูกออกแบบโดยผสมผสานลักษณะเด่นของ ริชาร์ด นิกสัน และ โจ ไบเดน สองอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีทั้งความสำเร็จและโศกนาฏกรรมส่วนตัวกำหนดเส้นทางชีวิต

การยอมรับจากสองพรรคและการต่อต้านในภายหลัง

จอร์จ มัลเลน ในฐานะผู้นำที่เริ่มต้นด้วยการเป็นที่ยอมรับจากทั้งสองพรรคการเมือง สะท้อนภาพลักษณ์ของ ริชาร์ด นิกสัน ในช่วงแรกของการดำรงตำแหน่ง นิกสันชนะการเลือกตั้งในปี 1968 และ 1972 ด้วยคะแนนถล่มทลาย แสดงถึงความสามารถในการดึงดูดทั้งพรรครีพับลิกันและผู้สนับสนุนข้ามพรรค ด้วยนโยบายที่สมดุล เช่น การเปิดสัมพันธ์กับจีน และการลดความตึงเครียดกับสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตาม การต่อต้านที่เกิดขึ้นภายหลังของมัลเลนนั้นคล้ายกับจุดหักเหของนิกสันในเหตุการณ์วอเตอร์เกต ซึ่งเปลี่ยนภาพลักษณ์จากผู้นำที่ได้รับการยอมรับไปสู่ผู้ถูกตั้งคำถามและต้องลาออกในที่สุด

ในทางกลับกัน โจ ไบเดน ก็มีลักษณะคล้ายกันในแง่การเป็นที่ยอมรับข้ามพรรค ด้วยประสบการณ์ยาวนานในฐานะวุฒิสมาชิกและรองประธานาธิบดี ไบเดนได้รับการยกย่องจากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันบางส่วนในช่วงต้นอาชีพ โดยเฉพาะความสามารถในการเจรจาข้ามพรรค แต่เมื่อเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี (2021-2025) เขาก็เผชิญการต่อต้านจากฝ่ายตรงข้ามอย่างหนัก โดยเฉพาะในประเด็นนโยบายเศรษฐกิจและการถอนทหารจากอัฟกานิสถาน การที่มัลเลนได้รับการยอมรับก่อนจะถูกต่อต้านจึงดูเหมือนเป็นการหยิบยืมลักษณะของผู้นำทั้งสองที่เริ่มต้นด้วยความหวัง แต่ถูกท้าทายจากสถานการณ์ภายหลัง

ปัญหาสุขภาพที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ

หนึ่งในจุดเด่นของมัลเลนคือปัญหาความทรงจำเสื่อม ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของเขาในฐานะผู้นำที่ถูกเรียกกลับมาแก้ไขวิกฤตไซเบอร์ ลักษณะนี้สะท้อนถึง โจ ไบเดน อย่างชัดเจน ในวัย 82 ปี (ณ ปี 2025) ไบเดนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อและฝ่ายตรงข้ามเกี่ยวกับสุขภาพและความสามารถในการรับรู้ โดยเฉพาะการพูดติดขัดหรือหลงลืมในที่สาธารณะ ซึ่งกลายเป็นประเด็นถกเถียงในช่วงดำรงตำแหน่ง แม้จะไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าเป็นโรคสมองเสื่อม แต่ภาพลักษณ์นี้ถูกขยายจนกลายเป็นจุดอ่อน มัลเลนที่มีความทรงจำเสื่อมจึงอาจเป็นการขยายลักษณะของไบเดนในบริบทสมมติ เพื่อเน้นความเปราะบางของผู้นำสูงวัยที่ต้องเผชิญความท้าทายสมัยใหม่

ในขณะที่ ริชาร์ด นิกสัน ไม่มีปัญหาสุขภาพด้านความจำที่ชัดเจน แต่เขามีความเครียดและหวาดระแวงในช่วงวอเตอร์เกต ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจ เช่น การสั่งบันทึกเทปที่นำไปสู่การล่มสลายของเขา ความเปราะบางทางจิตใจของนิกสันอาจถูกปรับให้เป็นปัญหาทางกายภาพของมัลเลน เพื่อสะท้อนความกดดันที่ผู้นำต้องเผชิญในยามวิกฤต

ความทุ่มเทเพื่อชาติและค่านิยมที่ยอดเยี่ยม

มัลเลนถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่มีใครสงสัยในเจตนาการทำเพื่อชาติ และมีค่านิยมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสะท้อนถึงทั้งนิกสันและไบเดนในแง่บวก นิกสัน แม้จะจบลงด้วยเรื่องอื้อฉาว แต่ในช่วงแรกเขาได้รับการยกย่องจากนโยบายต่างประเทศที่กล้าหาญ เช่น การยุติสงครามเย็นบางส่วน และการผลักดันกฎหมายสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ ความทุ่มเทของเขาต่อชาติถูกยอมรับก่อนที่ภาพลักษณ์จะเสียหาย เช่นเดียวกับมัลเลนที่เริ่มต้นด้วยความน่าเชื่อถือสูง

ไบเดน เองก็มีภาพลักษณ์ของผู้นำที่ยึดมั่นในค่านิยมประชาธิปไตยและความเป็นธรรม เขามักพูดถึงการรับใช้ชาติและประชาชน โดยเฉพาะการฟื้นฟูประเทศหลังโควิด-19 และการปกป้องประชาธิปไตยจากการโจมตี เช่น เหตุการณ์จลาจลที่รัฐสภาในปี 2021 ความทุ่มเทของมัลเลนจึงอาจดึงมาจากความมุ่งมั่นของไบเดนที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ในแง่เจตนา แม้ผลลัพธ์จะถูกตั้งคำถามก็ตาม

ภาวะความเป็นผู้นำสูง

ภาวะผู้นำของมัลเลนที่เด่นชัดใน “Zero Day” เมื่อเขาถูกเรียกกลับมาแก้ไขวิกฤต สะท้อนถึงความสามารถของทั้งนิกสันและไบเดน นิกสัน แสดงภาวะผู้นำในช่วงวิกฤตสงครามเย็นและสงครามเวียดนาม ด้วยการตัดสินใจเด็ดขาด เช่น การถอนทหารผ่านนโยบาย Vietnamization และการเจรจากับจีน ซึ่งต้องการทั้งวิสัยทัศน์และความกล้า เช่นเดียวกับมัลเลนที่ต้องนำทีมสืบสวนการโจมตีไซเบอร์ท่ามกลางความเปราะบางส่วนตัว

ไบเดน ก็มีภาวะผู้นำที่เห็นได้จากการรับมือวิกฤตหลายด้าน เช่น การผลักดันกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน และการเป็นผู้นำพันธมิตรตะวันตกในการตอบโต้รัสเซียหลังการบุกยูเครนในปี 2022 การที่มัลเลนถูกเรียกกลับมาแสดงถึงความเชื่อมั่นในภาวะผู้นำของเขา ซึ่งคล้ายกับความไว้วางใจที่ไบเดนได้รับในฐานะผู้นำที่มีประสบการณ์ยาวนาน

Zero day รีวิว Netflix ภาวะผู้นำสูง

ปัญหาส่วนตัวที่หยุดการรับใช้ชาติ

จุดที่มัลเลนต้องหยุดรับใช้ชาติเพราะปัญหาส่วนตัวลูกติดยาเสพติดและเสียชีวิต สะท้อนถึงมิติส่วนตัวของทั้งนิกสันและไบเดน

นิกสัน ไม่มีปัญหาครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่ความหวาดระแวงและความกดดันส่วนตัวในช่วงวอเตอร์เกตนำไปสู่การลาออก ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่สะท้อนความไม่สามารถรับมือกับภาระทั้งส่วนตัวและสาธารณะได้ การลาออกของมัลเลนอาจดึงแรงบันดาลใจจากจุดนี้ แต่ถูกปรับให้เป็นโศกนาฏกรรมครอบครัวที่ชัดเจนกว่า

ไบเดน มีความเชื่อมโยงกับมัลเลนมากขึ้นในแง่นี้ เขาสูญเสียลูกชาย โบ ไบเดน จากมะเร็งสมองในปี 2015 และลูกชายอีกคน ฮันเตอร์ ไบเดน มีประวัติปัญหายาเสพติดและเรื่องอื้อฉาว ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนในภาพลักษณ์ของเขา แม้ไบเดนจะไม่ลาออก แต่โศกนาฏกรรมครอบครัวและความเจ็บปวดส่วนตัวเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวชีวิตที่เขาเปิดเผยต่อสาธารณะ การที่มัลเลนลาออกเพราะลูกติดยาและเสียชีวิตอาจเป็นการขยายลักษณะนี้ของไบเดนให้เข้มข้นขึ้น เพื่อเน้นผลกระทบของปัญหาส่วนตัวต่อการเป็นผู้นำ

การผ่านสงครามเวียดนามและพื้นฐานด้านกฎหมาย

การที่มัลเลนผ่านสงครามเวียดนามและมีพื้นฐานด้านกฎหมายเป็นอัยการนั้น แม้จะไม่ตรงกับนิกสันหรือไบเดนทั้งหมด แต่ก็มีจุดเชื่อมโยง นิกสัน เชื่อมโยงกับเวียดนามในฐานะผู้นำที่จัดการสงคราม และมีพื้นฐานด้านกฎหมายจาก Duke University ซึ่งใกล้เคียงกับมัลเลน

ส่วน ไบเดน เรียนจบกฎหมายจาก Syracuse University และเคยทำงานด้านกฎหมาย แม้จะไม่ผ่านสงครามเวียดนามด้วยตัวเอง (เขาได้รับการยกเว้นการเกณฑ์ทหาร) การรบในเวียดนามของมัลเลนอาจเป็นการเพิ่มมิติทหารผ่านศึกเพื่อให้ตัวละครมีความลึกมากขึ้น ซึ่งอาจดึงจากบุคคลอื่น เช่น จอห์น แคร์รี แต่เมื่อรวมกับลักษณะอื่นๆ แล้ว นิกสันและไบเดนยังคงเป็นต้นแบบหลัก

ดังนั้นผมจึงเชื่อว่า

จอร์จ มัลเลน ถูกออกแบบโดยผสมผสานคุณลักษณะของ ริชาร์ด นิกสัน และ โจ ไบเดน อย่างลงตัว

มัลเลนจึงเป็นตัวละครที่รวบรวมจุดแข็งและจุดอ่อนของผู้นำทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันความเป็นที่ยอมรับและภาวะผู้นำจากนิกสันในยุคที่รุ่งเรือง ผสมกับความเปราะบางส่วนตัวและความทุ่มเทที่ไม่มีใครสงสัยจากไบเดนในยุคปัจจุบัน การเพิ่มมิติของสงครามเวียดนามและโศกนาฏกรรมลูกติดยาเสพติดอาจเป็นการปรับแต่งเพื่อให้เข้ากับบริบทสมัยใหม่ของ “Zero Day” แต่แก่นของตัวละครยังคงสะท้อนรากฐานจากประธานาธิบดีทั้งสองนี้อย่างชัดเจน มัลเลนจึงไม่ใช่แค่ภาพจำลองของนิกสันหรือไบเดน แต่เป็นการผสมผสานที่สร้างผู้นำที่มีทั้งความยิ่งใหญ่และความเปราะบางในแบบที่ไม่เหมือนใคร

Zero day รีวิว Netflix อเลกซานเดรีย กับ AOC

อเล็กซานดรา มัลเลน ความกล้าชนและความโดดเด่นที่สะท้อนถึง Alexandria Ocasio-Cortez

อเล็กซานดรา มัลเลน ลูกสาวของจอร์จ มัลเลน (รับบทโดย ลิซซี่ แคปแลน) เป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญทั้งในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้ที่พยายามสร้างชื่อเสียงของตัวเองท่ามกลางเงามืดของพ่อ ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีที่มีประวัติซับซ้อน จากลักษณะที่ระบุว่าเธอมีความกล้าชนกล้าสู้และโดดเด่น รวมถึงข้อมูลพื้นฐานจากซีรีส์

ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับจอร์จ มัลเลน และการมีส่วนร่วมในการสืบสวนการโจมตีทางไซเบอร์ ทำให้ผมเชื่อว่า อเล็กซานดรา มีความคล้ายคลึงกับ Alexandria Ocasio-Cortez (AOC) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากนิวยอร์ก ที่ขึ้นชื่อเรื่องความกล้าหาญและการสร้างตัวตนที่โดดเด่นในเวทีการเมือง ต่อไปนี้คือการวิเคราะห์ที่เชื่อมโยงทั้งสองตัวละครนี้เข้าด้วยกัน

ท้าทายอำนาจและความคาดหวัง

อเล็กซานดรา มัลเลน ถูกนำเสนอในฐานะผู้หญิงที่ไม่ยอมจำนนต่อสถานการณ์หรืออิทธิพลของพ่อของเธอ ความกล้าชนกล้าสู้ของเธอปรากฏชัดในความพยายามที่จะก้าวข้ามมรดกของจอร์จ มัลเลน อดีตประธานาธิบดีเพื่อพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักการเมืองที่มีความสามารถ ในซีรีส์ เธอมีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการตรวจสอบ Zero Day ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับการสมคบคิดระดับสูงและความท้าทายที่ซับซ้อน ลักษณะนี้สะท้อนถึง Alexandria Ocasio-Cortez ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักจากการท้าทายโครงสร้างอำนาจเก่าในพรรคเดโมแครตและวงการการเมืองสหรัฐฯ

AOC เข้าสู่สภาในปี 2018 ด้วยวัยเพียง 29 ปี หลังจากเอาชนะโจ โครวลีย์ ผู้คร่ำหวอดในพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งขั้นต้น การที่เธอกล้าต่อสู้กับนักการเมืองรุ่นเก๋าและเสนอนโยบายที่ก้าวหน้าอย่าง Green New Deal แสดงถึงความกล้าที่ไม่เกรงกลัวต่อการต่อต้าน เช่นเดียวกับอเล็กซานดราที่กล้าลงสนามการเมืองและเผชิญหน้ากับความกดดันจากทั้งครอบครัวและสังคม ความกล้าชนของทั้งคู่ไม่ใช่แค่การต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่เป็นการท้าทายระบบที่พยายามจำกัดบทบาทของพวกเธอ

การสร้างตัวตนที่แตกต่าง

อเล็กซานดรา มัลเลน ไม่ได้เป็นเพียงเงาของพ่อ แต่เธอพยายามสร้างชื่อเสียงในแบบของตัวเอง ด้วยตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการมีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญของชาติ เธอโดดเด่นด้วยความมุ่งมั่นที่จะกำหนดเส้นทางของตัวเอง แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับจอร์จ ซึ่งอาจสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ ลักษณะนี้คล้ายคลึงกับ AOC ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของนักการเมืองรุ่นใหม่ที่แตกต่างจากภาพลักษณ์ดั้งเดิม

AOC โดดเด่นด้วยการใช้โซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาด เช่น Instagram และ Twitter เพื่อสื่อสารกับประชาชนโดยตรง และสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าถึงได้ในฐานะลูกสาวของผู้อพยพจากบรองซ์ เธอไม่เพียงแค่เป็นนักการเมือง แต่ยังเป็นกระบอกเสียงของคนรุ่นใหม่และกลุ่มที่ถูกมองข้าม แม้ว่าเราไม่มีข้อมูลว่าอเล็กซานดราใช้กลยุทธ์แบบเดียวกัน แต่การที่เธอพยายามสร้างชื่อในวงการการเมืองท่ามกลางมรดกที่หนักอึ้งของพ่อ ทำให้เธอมีลักษณะ “โดดเด่น” คล้ายกับ AOC ที่ก้าวขึ้นมาเป็นจุดสนใจในเวลาอันสั้น

ความสัมพันธ์กับรุ่นก่อน: ความตึงเครียดและการแยกตัว

ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างอเล็กซานดราและจอร์จ มัลเลน เป็นหนึ่งในประเด็นหลักของตัวละครนี้ เธอต้องต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองในขณะที่พ่อของเธอผู้นำที่เคยยิ่งใหญ่แต่มีข้อบกพร่องถูกเรียกกลับมาแก้ไขวิกฤต ความขัดแย้งนี้สะท้อนถึงการที่ต้องการแยกตัวจากอิทธิพลของรุ่นก่อน ซึ่งคล้ายกับการที่ AOC มักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายนักการเมืองรุ่นเก่าในพรรคเดโมแครต

AOC เคยวิจารณ์ผู้นำรุ่นเก่าอย่างเปิดเผย เช่น การตั้งคำถามถึงนโยบายที่ล้าสมัยของพรรค และเรียกร้องให้มีการปฏิรูป เธอไม่ได้มีพ่อที่เป็นประธานาธิบดีเหมือนอเล็กซานดรา แต่ความตึงเครียดระหว่างเธอกับรุ่นก่อนในวงการการเมืองนั้นคล้ายกัน—ทั้งคู่ต้องเผชิญกับความคาดหวังและการเปรียบเทียบจากคนรอบตัว อเล็กซานดราที่ต้องรับมือกับมรดกของจอร์จจึงอาจสะท้อนถึงความพยายามของ AOC ในการก้าวข้ามกรอบที่สังคมกำหนดไว้ให้

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า

อเล็กซานดรา มัลเลน ใน “Zero Day” เป็นตัวละครที่รวบรวมลักษณะของความกล้าชนกล้าสู้และความโดดเด่น ซึ่งสะท้อนถึง Alexandria Ocasio-Cortez อย่างเห็นได้ชัด เธอเป็นนักการเมืองหญิงที่ไม่ยอมอยู่ใต้เงาของอดีต

ไม่ว่าจะเป็นมรดกของพ่อหรือระบบที่พยายามจำกัดบทบาทของเธอและกล้าท้าทายเพื่อสร้างชื่อเสียงของตัวเอง ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับจอร์จ มัลเลน อาจเปรียบได้กับการต่อสู้ของ AOC กับรุ่นก่อนในวงการการเมือง ขณะที่การมีส่วนร่วมในวิกฤตไซเบอร์แสดงถึงความสามารถในการเป็นตัวแทนของยุคสมัย เช่นเดียวกับที่ AOC เป็นกระบอกเสียงของคนรุ่นใหม่

การแสดงของ ลิซซี่ แคปแลน ยังช่วยเสริมให้อเล็กซานดรามีพลังและความน่าเชื่อถือในแบบที่ AOC นำเสนอผ่านการพูดและการกระทำของเธอ อเล็กซานดราจึงไม่ใช่แค่ภาพจำลองของ AOC แต่เป็นการตีความใหม่ของนักการเมืองหญิงที่กล้าหาญและโดดเด่นในบริบทที่ท้าทายกว่าเดิม เธอคือตัวแทนของความหวังและการต่อสู้ที่สะท้อนจิตวิญญาณของผู้นำรุ่นใหม่ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

อีฟลิน มิทเชลล์: ผู้นำแห่ง Zero Day ที่ถอดแบบจากคามาลา แฮร์ริส ด้วยชื่อคล้ายกับมิเชลล์ โอบามา

ประธานาธิบดี อีฟลิน มิทเชลล์ (รับบทโดย แองเจล่า แบสเซตต์) ก้าวขึ้นเป็นผู้นำหญิงผิวดำคนแรกในโลกสมมติที่ต้องเผชิญวิกฤตการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ ด้วยความเด็ดขาดในการแต่งตั้งจอร์จ มัลเลน กลับมาสืบสวน เธอสะท้อนภาพลักษณ์ของ คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และอดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ก้าวข้ามอุปสรรคทางเชื้อชาติและเพศสู่จุดสูงสุดของอำนาจ

การเผชิญความท้าทายและคำวิจารณ์เรื่องความน่าเชื่อถือของอีฟลินนั้นคล้ายกับที่แฮร์ริสเผชิญในบทบาทบริหารชาติ ขณะที่ชื่อ “มิทเชลล์” ดูเหมือนเป็นการให้เกียรติแก่ มิเชลล์ โอบามา สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งเพิ่มมิติของความสง่างามและความแข็งแกร่งให้ตัวละคร การผสมผสานนี้ทำให้อีฟลินไม่เพียงเป็นผู้นำในจอ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความฝันและความท้าทายของผู้หญิงผิวดำในเวทีการเมืองยุคใหม่ ที่ได้แรงบันดาลใจจากสองบุคคลสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ร่วมสมัยอย่างลงตัว

Zero day ต้องการจะสื่อะไร

ความเปราะบางของโลกดิจิทัลในยุคสมัยใหม่

ซีรีส์ใช้การโจมตีทางไซเบอร์เป็นแกนกลางเพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในโลกที่พึ่งพาเทคโนโลยี การที่โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้าและการขนส่ง ล่มสลายจากการโจมตี “Zero Day” (ช่องโหว่ที่ยังไม่รู้จักในซอฟต์แวร์) แสดงถึงความกังวลของสังคมเกี่ยวกับภัยคุกคามที่มองไม่เห็นแต่ร้ายแรง ผู้สร้างต้องการเตือนว่าในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกัน ความปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงแห่งชาติ

ความซับซ้อนของภาวะผู้นำในยามวิกฤต

ผ่านตัวละครจอร์จ มัลเลน ซีรีส์สำรวจว่าผู้นำที่เคยยิ่งใหญ่แต่มีข้อบกพร้อง—เช่น ความทรงจำเสื่อมและโศกนาฏกรรมครอบครัว—ยังคงรับมือกับวิกฤตได้อย่างไร การที่อีฟลิน มิทเชลล์แต่งตั้งมัลเลนกลับมาแสดงถึงความขัดแย้งระหว่างความเชื่อมั่นในประสบการณ์กับความสงสัยในความสามารถ “Zero Day” ต้องการตั้งคำถามถึงคุณสมบัติของผู้นำในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับอำนาจ

ความขัดแย้งระหว่างรุ่นและการเปลี่ยนผ่านอำนาจ

ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างมัลเลนกับอเล็กซานดรา ลูกสาวของเขา สะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างผู้นำรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ อเล็กซานดราที่กล้าชนและพยายามสร้างชื่อของตัวเองอาจเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ขณะที่มัลเลนเป็นสัญลักษณ์ของอดีตที่ยังมีอิทธิพล ซีรีส์ต้องการสื่อถึงการต่อสู้เพื่อกำหนดอนาคตของชาติท่ามกลางมรดกที่หนักอึ้งจากอดีต

ความจริงในยุคข้อมูลเท็จและการสมคบคิด

การสืบสวนของมัลเลนที่เผยให้เห็นการสมคบคิดระดับสูงตั้งใจให้ผู้ชมตั้งคำถามถึงความจริงในยุคที่เต็มไปด้วยข้อมูลเท็จและทฤษฎีสมคบคิด “Zero Day” ต้องการกระตุ้นให้ผู้ชมตระหนักถึงอันตรายของการบิดเบือนข้อมูล และความยากลำบากในการค้นหาความจริงเมื่อทุกฝ่ายมีวาระซ่อนเร้น

สิ่งที่ “Zero Day” ทำได้ดี

การเลือกนักแสดงระดับตำนาน

หนึ่งในจุดแข็งที่สุดของซีรีส์คือการรวมนักแสดงชื่อดังอย่าง โรเบิร์ต เดอ นิโร, ลิซซี่ แคปแลน, เจสซี่ พเลมมอนส์, แองเจล่า แบสเซตต์ และคอนนี่ บริตตัน การแสดงของเดอ นิโรในบทมัลเลนนำเสนอผู้นำที่ทั้งน่าเชื่อถือและเปราะบางได้อย่างทรงพลัง ขณะที่แคปแลนในบทอเล็กซานดราเพิ่มมิติของความกล้าหาญและความขัดแย้งในครอบครัว นักแสดงเหล่านี้ช่วยยกระดับเนื้อหาให้มีน้ำหนักและน่าติดตาม

การนำเสนอประเด็นทันสมัยและทันเหตุการณ์

ซีรีส์ทำได้ดีในการหยิบยกภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงในยุคปัจจุบัน เช่น การโจมตี ransomware หรือการแทรกแซงเลือกตั้ง การตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทำให้ “Zero Day” รู้สึกสมจริงและกระตุ้นความสนใจของผู้ชมที่ตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้

การสร้างความตึงเครียดในตอนจบ

แม้จะมีคำวิจารณ์ว่าการเล่าเรื่องในช่วงกลางอาจช้า แต่ตอนสุดท้ายของซีรีส์ได้รับคำชื่นชมว่าสามารถสร้างความตึงเครียดและปิดฉากได้อย่างน่าตื่นเต้น การเปิดเผยการสมคบคิดและจุดไคลแมกซ์ช่วยชดเชยจุดอ่อนบางส่วน และทำให้ผู้ชมรู้สึกคุ้มค่ากับการติดตาม

การสำรวจความสัมพันธ์ครอบครัวควบคู่กับการเมือง

ความสัมพันธ์ระหว่างมัลเลนและอเล็กซานดราถูกถ่ายทอดได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการที่ทั้งคู่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาส่วนตัวท่ามกลางวิกฤตชาติ การผสมผสานดราม่าครอบครัวเข้ากับระทึกขวัญทางการเมืองช่วยเพิ่มมิติให้ตัวละคร และทำให้ “Zero Day” ไม่ได้เป็นแค่เรื่องการสมคบคิด แต่ยังเป็นเรื่องของมนุษย์

สิ่งที่ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ถึงแม้จะมีจุดเด่น แต่ “Zero Day” ก็มีข้อจำกัดที่ทำให้บางเป้าหมายไม่สำเร็จเต็มที่

พล็อตที่ไม่ลึกซึ้ง

ผู้วิจารณ์บางส่วน เช่น Variety และ Screen Rant ชี้ว่าซีรีส์ล้มเหลวในการสำรวจประเด็นการสมคบคิดหรือภัยไซเบอร์อย่างลึกซึ้ง บางช่วงรู้สึกตื้นเขินและขาดความสมเหตุสมผล ทำให้ข้อความที่ต้องการสื่อถึงความเปราะบางของโลกดิจิทัลไม่หนักแน่นเท่าที่ควร

สำหรับส่วนตัวมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับข้อวิจารย์ในเว็บไซต์เหล่านี้นะครับผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ดีแหละแต่ไม่ถึงขั้นแย่ขนาดเรียกว่าล้มเหลวได้ คือซีรีส์ต้องทำในแบบกลาง ๆ เพื่อให้ทุกคนที่ไม่ได้เข้าใจด้านเทคโนโลยีเข้าใจบทได้ ผมว่าอยู่ในระดับที่โอเคแล้ว แต่เบาไปนิดเดียว นิดเดียวจริง ๆ ครับในตอนกลาง ผมคิดว่าช่วงท้ายน่ะสามารถเพ่มอีกหนึ่งอีพี หรือเอาไคลแมคจากช่วง EP 6 ไปเริ่มตอน EP 5 ได้เลย ผมว่าน่าจะสนุกขึ้น

การพัฒนาตัวละครที่ไม่สมดุล

แม้ตัวละครหลักอย่างมัลเลนและอเล็กซานดราจะมีมิติ แต่ตัวละครรองบางตัว เช่น อีฟลิน มิทเชลล์ ถูกวิจารณ์ว่าไม่น่าเชื่อถือหรือขาดการพัฒนาส่งผลให้การสำรวจภาวะผู้นำและความขัดแย้งระหว่างรุ่นไม่ครบถ้วน

สำหรับผมก็ยังพอเข้าใจได้เพราะไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่พาเวอร์จอง มิทเชลล์ดูไม่เหมือนประธานาธิบดีไปนิดหนึ่ง แต่อย่างว่ามันไม่ใช่ตัวละครหลัก

จังหวะการเล่าเรื่องที่ช้า

การเล่าเรื่องในช่วงกลางถูกมองว่าช้าเกินไปซึ่งอาจทำให้ผู้ชมบางส่วนสูญเสียความสนใจก่อนถึงจุดไคลแมกซ์ และลดพลังของข้อความที่ต้องการสื่อ

สรุปรีวิว Zero Day

Zero Day ต้องการสื่อถึงความเปราะบางของโลกดิจิทัล ความท้าทายของภาวะผู้นำในยามวิกฤต ความขัดแย้งระหว่างรุ่น และการค้นหาความจริงในยุคข้อมูลเท็จ โดยมีเป้าหมายกระตุ้นให้ผู้ชมตระหนักถึงภัยคุกคามสมัยใหม่และตั้งคำถามถึงบทบาทของผู้นำ สิ่งที่ซีรีส์ทำได้ดีคือการใช้ทีมนักแสดงระดับตำนาน การนำเสนอประเด็นทันสมัย ความตึงเครียดในตอนจบ และการผสมผสานดราม่าครอบครัวเข้ากับการเมือง ซึ่งช่วยยกระดับให้เป็นมากกว่าซีรีส์ระทึกขวัญทั่วไป

Zero day review netflix
Zero Day รีวิว Netflix อย่างมันจัดไปเลยจุก ๆ
ซีรีส์ควรดู
ซีรีส์ที่แนวระทึกขวัญแต่ไม่น่ากลัว เน้นสนุกและใช้ความคิด ผมว่าเหมาะกับการดูคุ้มค่ากับเวลา
เนื้อหา บท การเล่าเรื่อง
8
Design, CG, Mood and Tone
7.5
ตรรกะของหนัง Logical
7.5
ความบันเทิง Entertianment
7.8
Casting, นักแสดง
8
Reader Rating9 Votes
6.3
ข้อดี ที่ชอบ
ตัวละคร
บท
จุดไคลแมคดี
บทสรุปของเรื่องโอเค
ข้อที่อยากเห็น
อยากให้ Climax ของเรื่องยาวกว่านี้
7.8
คะแนน
karnnikro
karnnikrohttps://www.karnnikro.com
MD of NIKRO GROUP CO.,LTD. และบรรณาธิการบริหาร BIGDREAMBLOG | License holder TEDxBangKhunThian | Entrepreneurship Degree & Law School | อยากได้สิ่งที่ไม่เคยได้ต้องทำสิ่งที่ไม่เคยทำ | รักแมววว
Share this
Tags

Must-read

The Electric State รีวิว ...

The Electric State รีวิว...

Critical Thinking คิดเชิง...

การคิดเชิงวิพากษ์ (Criti...
spot_img

Recent articles

More like this

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!

เนื้อหา บท การเล่าเรื่อง
Design, CG, Mood and Tone
ตรรกะของหนัง Logical
ความบันเทิง Entertianment
Casting, นักแสดง
Final Score
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

Zero day รีวิว Netflix ซีรีส์จากอเมริกาที่สะ...Zero Day รีวิว Netflix อย่างมันจัดไปเลยจุก ๆ