ล็อกดาวน์ เปล่าประโยชน์จากกาประกาศมาตรการการล็อกดาวน์ในวันที่ 9 กรกฏาคม 2021
สรุปการประกาศจากรองโฆษก
- ศบค. เคาะ ล็อคดาวน์ , เคอร์ฟิว
- ให้รอมาตรการเยียวยาจะออกให้เร็วที่สุด
- โดยมีการปรับระดับความเข้มข้นของสถานการณ์(แนบรูปให้)
- มาตราการการล็อคดาวน์ ตามพื้นที่ต่าง ๆ
-ห้างเปิดได้เฉพาะซุปเปอร์มาร์เก็ต / ร้านขายยา
- เคอร์ฟิว 4ทุ่ม-ตี4
- เอกชนWFH 14 วัน
- งดเดินทางข้ามจังหวัด (เริ่มพรุ่งนี้ 10.7.21)
- ล็อคดาวน์งดออกจากบ้านยกเว้นซื้อข้าว ฉีดวัคซีน และตรวจโควิด
*เริ่มล็อคดาวน์ จันทร์ที่ 12.7.21
- ระบุว่า สธ. ปรับแผนการฉีดวัคซีนโดยมีเป้าหมายฉีด วัคซีนให้ได้ 1 ล้านโดสใน 2 สัปดาห์
- ฉีดไฟเซอร์ และ AZ จากการบริจาควัคซีนในต่างประเทศให้กลุ่มเสี่ยง และแพทย์อย่างเร็วที่สุด
*ล็อคดาวน์ พื้นที่ 10 จังหวัด กรุงเทพ ,นครปฐม , นราธิวาส ,ปัตตานี , ยะลา ,ปทุมธานี, นนทบุรี , สมุทรปราการ , สมุทรสาคร ,สงขลา
ดูจากการประกาศเมื่อสักครู่ของ ศบค. แล้วบอกได้คำเดียวว่า “ปลง” เพราะดูเหมือนการ Lockdown ครั้งนี้ จะเปล่าประโยชน์อีกครั้ง
เหตุผลเพราะ การ Lockdown มันเป็นเหตุการณ์ที่เข้าใจได้ถึงแม้จะไม่เห็นด้วย เพราะหาก Lockdown แล้วเราสามารถปรับข้อมูลที่อยู่ใต้โต๊ะ ขึ้นมาบนโต๊ะได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และแยกคนติดเชื้อและไม่ติดเชื้อออกจากกัน
การประกาศ Lockdown เมื่อสักครู่ มีสิ่งที่จะทำ ซึ่งทางรองโฆษก ศบค. เน้นไปที่การฉีด วัคซีน mRNA ไปที่บุคคลเสี่ยง และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว แต่เรื่องที่ควรทำมากกว่านั้นคือ “ทำยังไงเราถึงจะได้รู้ข้อมูลว่ามีคนติดเชื้อจริง ๆ เท่าไหร่ ? มากกว่า”
นั่นก็คือการตรวจเชิงรุก ที่เป็นเชิงรุกจริง ๆ ไม่ใช่บอกว่า ตรวจเชิงรุก แต่จำกัด 900 ตัวอย่างต่อวัน/จุดตรวจ
นั่นควรใช้หลักการ skim and scan อะ คือคุณใช้ Rapid Test เป็นวงกว้างให้ได้เยอะที่สุดก่อน(ทางที่ดีก็ 100%) ถึงแม้มันไม่แม่น แต่เราสามารถดูได้ว่าพื้นที่ไหนที่มีคนติดซ้ำ ๆ กันบ้าง แล้วค่อยโฟกัสเป็นพื้นที่โดยใช้ชุดตรวจมาตรฐานของ สธ. ก็ได้
ทาง ศบค. บอกว่าตอนนี้ที่ไม่ได้ใช้ Rapid Test และกำลังพิจารณาเหตุผลเพราะว่า มันไม่แม่น และผลตรวจเป็นลบไม่ได้แปลว่า ไม่ติด มันก็ใช้ แต่เราใช้เพื่อจำกัดพื้นที่ ประเมิณความเสี่ยง ไม่ใช่เพื่อมารู้ผลแบบ 100%
เพราะเห็นปัจจุบันที่ คนซื้อ rapid test มาใช้เองส่วนใหญ่ หากตรวจเจอเป็น + เขาก็ไปตรวจซ้ำอีกรอบอยู่ดีและแทบจะทั้งหมดติดตามผลบวกนั่นแหละ
ส่วนมาตรการการเยียวยา เราว่ารัฐไม่อยากจ่าย เพราะว่าเงินเหลือไม่เยอะแล้วก็จ่ายแต่ละทีมันเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะสุดท้าย เงินก็ไปกองอยู่ที่ท้ายสุดของห่วงโซ่เศรษฐกิจอยู่ดี (ก็คือคนที่รวยขึ้นเกือบ 1 แสนล้าน)
“ปลง” ทั้ง ๆ ที่ “ไม่ควรปลง”