The King’s Man รีวิว กำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมน ชัยชนะบนความเจ็บปวดของดยุคแห่งอ็อกฟอร์ด สายลับสูตรเนียบในปัจจุบัน เป็นการแตกแขนงเนื้อเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม และยังเหลืออะไรให้เล่นอีกเยอะสำหรับสายลับสัญชาติอังกฤษแท้ และนี้เป็นรีวิวของเราครับ
The King’s Man เรื่องย่อ
เรื่องมันเริ่มจากสมัย กษัตริย์อังกฤษ ยังเป็นพระเจ้าจอร์จที่ 5 (รับบทโดย Tom Hollander) สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 Conrad Oxford (รับบทโดย Harris Dickinson) สูญเสียแม่ไประหว่างไปเยี่ยมแคมป์ในสนามรบ แต่ไม่ได้เกรงกลัวต่อการไปสู้รบในแดนหน้าซึ่งเป็นความฝันของเขา แต่ถูกพ่อ Orlando Oxford (รับบทโดย Ralph Fiennes) ห้ามไว้เสมอเพราะไม่อยากให้เกิดอันตรายต่อลูกเพราะรู้ว่าสงครามมันน่ากลัวขนาดไหน แต่ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าของ คอนราด จึงทำให้ Orlando ดยุคแห่งอ็อกฟอร์ด ยอมเปิดเผยความลับถึงคลับแห่งความลับที่คอยแก้ไขปัญหาแก่ชาติบ้านเมืองอยู่ลับ ๆ และภารกิจแรกของ คอนราด ก็คือการต้องไปสังหาร นักบวชรัสเซียมักมากในกามอย่าง รัสปูติน (รับบทโดย Rhys Ifans) ผู้ชักใยบงการครอบงำความคิดอยู่ Nicholas II of Russia และหลังจบภารกิจ คอนราดก็ได้อาสาเข้ารบในแนวหน้าของสงคราม
คิงส์แมน 2021 รีวิว
อันดับแรกสุด แฟนคลับหนังสัญชาติอังกฤษ อย่างผมต้องบอกว่าปลาบปลื้มไอเดียในการเล่าเรื่องย้อนกลับมาของสายลับสุดสุภาพบุรุษ แสนจะเท่อย่าง King’s Man มาก ๆ เพราะเราจะได้มีความสุขในหนังเฟรนไชส์สายลับนี้มากขึ้น ย้อนกลับไปที่ภาคแรก ผมไม่คิดเลยนะครับว่าจะมีหลายภาคได้ขนาดนี้ คิดว่าเป็นหนังสายลับทำเล่น ๆ ขำ ๆ ของอังกฤษ แต่พอเอาเข้าจริงตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคนี้ เรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังสายลับที่ชอบที่สุดเรื่องหนึ่งไม่แพ้ 007 ภาพยนตร์สายลับที่มาจากประเทศเดียวกัน (จริง ๆ ชอบหนังแนวคิงส์แมนมากกว่าด้วย)
โครงเรื่องของ เดอะ คิงส์แมน
โครงเรื่องของเดอะคิงส์แมนภาคนี้เป็นเรื่องที่ผูกกับประวัติศาสตร์ ซึ่งถูกจริตผมอีกแล้วเพราะเราสามารถทำการศึกษาต่อหลังจบเรื่องได้ อย่างเรื่องนี้ เล่าตั้งแต่ที่มาของสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างกลาง และตัวแปรสำคัญของสงครามอย่าง รัสปูติน ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องที่แต่งเพิ่มไปจากสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ก็ผสมผสานกันอย่างดีแบบน่าเหลือเชื่อ!
ข้อสังเกตหนัง
ข้อเสียของกรอบเนื้อเรื่องแบบนี้มัน ไม่ได้หนักหน่วงหรือชวนแก้ไขปัญหาไปด้วยมากเท่าไหร่เพราะมันมีโครงทางประวัติศาสตร์ที่หนังต้องการจะเล่นล้อไปกับมัน ทำให้หนังมันอาจจะไม่ได้ลุ้นระทึกอะไรตลอดเวลา
ข้อดีที่ชอบของภาพยนตร์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนังสงครามอย่าง 1917 ที่มีฉากวิ่งในสงครามคล้าย ๆ กัน กลิ่นอายของหนังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำได้ดีมาก ๆ ในหนังเรื่องคิงส์แมนที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสายลับเพียงอย่างเดียว
อีกเรื่องหนึ่งที่ถือเป็นข้อดีของหนัง คือภาพ เสียง มูดโทน ที่คนรัก เกาะบริแตนหรือประเทศอังกฤษอย่างผมต้องถูกใจมาก ๆ เพราะบรรยากาศทำให้เห็นวัฒนธรรมและประเพณีของชาวอังกฤษเลยล่ะครับ มีหลายส่วนในหนังที่ทำให้ผมคิดถึงหนังดังจากวรรณกรรมอย่าง Harry Potter ด้วยความที่เป็นบริทิชเหมือนกัน และมีนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่องนั้นด้วย
โดยเฉพาะ Orlando Oxford ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าเป็นนักแสดงคนเดียวกับที่เล่นเป็น Lord Voldemort ซึ่งบทบาทนำในบทดยุคของ อ็อกฟอร์ต นั้น Ralph Fiennes เล่นได้แบบดีมากกกกกกก ไม่ว่าจะรับบทเรื่องไหนเขาคือนักแสดงชั้นยอดจริง ๆ ครับ
ประวัติศาสตร์กับKing’s man
จริง ๆ เรื่องนี้มีสอดคล้องกับประวัติศาสตร์แทบจะทั้งเรื่อง แต่ผมหยิบมาเล่าตอน รัสปูติน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญของสงคราม รัสปูติน ตามประวัติศาสตร์ขึ้นชื่อว่าเป็น คนที่สามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้อย่างเหลือเชื่อ ยิ่งการที่รักษาลูกชายของ ทีซาร์ นิโคลรัส ได้ทำให้ผู้ปกครองรัสเซียในขณะนั้นเชื่อใจเขามากเป็นพิเศษ ซึ่งวิธีการรักษาของรัสปูตินถูกคาดการณ์ว่าเป็นการรักษาโดยใช้การสะกดจิต แต่ข้อเสียของรัสปูตินคือถูกกังขาเรื่องความมักมากในกาม แบบที่ในภาพยนตร์เล่า
แต่รัสปูตินเสียชีวิตโดยการลอบสังหารโดยเป็นแผนที่ถูกวางมาอย่างดี โดยเจ้าชายเฟลิกซ์ ยูซูปอฟ (Felix Yussoupov) แฟนของลูกสาวพระเจ้าซาร์ เป็นผู้นำในการวางแผนฆ่ารัสปูติน ด้วยตัวเองเพื่อยุติความฉาวโฉ่ของราชสำนัก
เจ้าชายเฟลิกซ์ ต้อนรับรัสปูตินด้วยเค้กและไวน์ที่ใส่ยาพิษ ซึ่งรัสปูตินก็กินไปอย่างไม่มีข้อสงสัย แต่ยาพิษนั้นดูเหมือนจะทำอะไรรัสปูตินไม่ได้ ซึ่งเจ้าชายเฟลิกซ์เห็นเป็นแบบนั้นก็เลยทำท่าทีไปเล่นกีตาร์และร้องเพลงให้รัสปูตินเผลอ จากนั้นจึงคว้าปืนยืงใส่รัสปูติน
แต่รัสปูตินก็ไม่ได้ตายในทันที เขาพยายามต่อสู้กับเจ้าชายเฟลิกซ์อยู่พักใหญ่ ก่อนที่คนที่ร่วมวางแผนฆ่ารัสปูติน ซุ่มดูอยู่ในขณะนั้นจะมาลุมในการปลิดชีพของรัสปูตินด้วย คาดว่าน่าจะเป็น วลาดิเมียร์ พูริชเควิช (Vladimir Purishkevich) ผู้นำฝ่ายขวาของรัฐสภารัสเซีย ก็ได้กระหน่ำยิงเข้าใส่รัสปูตินไปหลายนัด และมีนัดนึงเข้าที่ศีรษะพอดี
ในส่วนถอดบทเรียนจากหนัง เรื่องนี้
ผมชอบในหลายเรื่องทั้งความเป็นสุภาพบุรุษของ King’s man แต่เรื่องนี้ผมจะพูดถึงจังหวะที่ คอนราด พูดกับพ่อว่าตัวเองต้องไปออกรบ เพราะว่าโดนข้อครหาว่าตัวเองเป็นพวกขี้ขลาด ซึ่ง Orlando รู้จักลูกชายตัวเองเป็นอย่างดีและเขามั่นใจว่าลูกชายเป็นคนกล้าหาญ จึงพูดกับลูกชายซึ่งตีความหมายว่า สิ่งที่คนพูดถึงเราเป็นภาพที่คนอื่นจำ แต่คาแรคเตอร์คือสิ่งที่เราเป็น ซึ่งหมายความว่าไม่ต้องไปสนใจคนอื่นหรอกว่าใครจะพูดถึงเราว่าอย่างไร เพราะสิ่งที่เราเป็นต่างหากคือตัวเราไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นพูดถึง

โดยสรุปแล้ว
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดีมาก สนุกดีครับ ยิ่งในเรื่องของ ภาพ เสียง ไอเดียของบทจากประวัติศาสตร์ทำได้ดีมาก ๆ และทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์โลกได้ดียิ่งขึ้น และภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งทำให้เราหลงรัก สายลับ ตระกูล King’s Man มากขึ้นอย่างจังเลยล่ะ
แล้วคุณดูแล้วเป็นอย่างไรบ้าง อย่าลืมคอมเมนต์ทิ้งไว้แบ่งปัน รีวิวหนัง ของคุณกับเราด้วยนะครับ
ข้อมูลของภาพยนตร์

แล้วคุณล่ะครับให้กี่คะแนน
ตัวอย่างภาพยนตร์
นักแสดง
- Ralph Fiennes เล่นเป็น Orlando Oxford
- Gemma Arterton เล่นเป็น Polly
- Rhys Ifans เล่นเป็น Grigori Rasputin
- Matthew Goode เล่นเป็น Morton
- Tom Hollander เล่นเป็น King George / Kaiser Wilhelm / Tsar Nicholas
- Harris Dickinson เล่นเป็น Conrad Oxford
- Daniel Brühl เล่นเป็น Erik Jan Hanussen
- Djimon Hounsou เล่นเป็น Shola
- Charles Dance เล่นเป็น Kitchener
- Aaron Taylor-Johnson เล่นเป็น Archie Reid
Director
- Matthew Vaughn
Editor
- Jason Ballantine
- Jason Ballantine
- Rob Hall
Writer (based on the comic book “The Secret Service” by)
- Mark Millar
- Dave Gibbons
Writer (story by)
- Matthew Vaughn